Blog Archive

Friday, June 3, 2022

ผู้หญิงสวย

<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-8765076661226777"
     crossorigin="anonymous"></script>

ขมิ้นสำหรับผิว

"ขมิ้น" ถือว่าเป็นสมุนไพรที่อยู่ติดบ้านและครัวเรือนไทยมานานตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากจะนำมาใช้ปรุงอาหารแล้ว ขมิ้นยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส ผลัดเซลล์เก่าออกอย่างอ่อนโยน ลดการอักเสบของสิว และรักษาปัญหาโรคผิวหนังต่างๆ ได้ด้วย





ประโยชน์ของขมิ้น

  • ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส แลดูเนียนขึ้น
  • ช่วยรักษาสิวเสี้ยน สิวอุดตัน และสิวผด ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนบาดแผล
  • มีฤทธิ์ในการต่อต้านและฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง 







1.ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้ง
สูตรหน้าใสสูตรนี้สามารถทำได้ด้วยการใช้ขมิ้นชัน 1/2 ช้อนชา นมสด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำกุหลาบ 1-2 หยด ผสมเข้าด้วยกัน  พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและเพิ่มความนุ่มนวลมากขึ้น






2.ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
สำหรับคนที่มีปัญหาสีผิวกระดำกระด่างไม่สม่ำเสมอกัน เพียงใช้ขมิ้น 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ลดปัญหารอยดำต่างๆ อย่างได้ผล




3.รักษาสิว

ผงขมิ้นชันมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดสิว โดยจะทำการกำจัดน้ำมันส่วนเกินและทำลายเชื้อโรคต่างๆ เพียงผสมผงขมิ้นเข้ากับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยให้สิวยุบลงและหายไปได้อย่างรวดเร็ว




4.ทำให้ผิวขาวและเนียนนุ่ม

การใช้ขมิ้นจะช่วยให้ผิวที่คล้ำดูจางลง แถมยังช่วยเพิ่มความขาวใสให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการนำเอาผงขมิ้น 1 ช้อนชา ผสมในน้ำมะเขือเทศเข้มข้น 1 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยโยเกิร์ต 1 อีกช้อนโต๊ะ แล้วทาลงบนผิวให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มและเนียนใสเหมือนผิวเด็กได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยทีเดียว




5.ลบรอยหมองคล้ำ ให้ผิวดูกระจ่างใส

ผงขมิ้นเป็นสูตรหน้าใสตามธรรมชาติที่จะช่วยลดรอยหมองคล้ำได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ผสมผงขมิ้น โยเกิร์ต และน้ำผึ้ง ในปริมาณที่เท่ากัน แล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาเอาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก ทำติดต่อกันอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง รับรองได้ว่าคุณจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน


6.ช่วยกระชับรูขุมขน ชะลอริ้วรอย
เพียงแค่นำไข่ไก่ 1 ฟอง แยกเอาแต่เฉพาะไข่ขาว ผสมขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะและน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันพอกให้ทั่วใบหน้า ผิวของคุณจะกระชับ รูขุมขนดูเล็กลง ที่สำคัญยังช่วยล็อคความอ่อนเยาว์ และกำจัดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างเห็นผล






7.กำจัดสิวหัวดำ
สิวหัวดำเจ้าปัญหา กำจัดได้ไม่ยาก ด้วยการผสมขมิ้นชันกับนมสด นำมาขัดเป็นวงกลมอย่างเบามือบริเวณที่มีปัญหาสิว จากนั้นทำซ้ำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะเห็นว่าสิวหัวดำลดลง ผิวหน้าดูเรียบเนียนใสมากขึ้น


สูตรหน้าใสที่มาจากขมิ้นชันเหล่านี้ ถือว่าเป็นสูตรที่สามารถทำเองได้ไม่ยุ่งยาก แถมยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย ส่งต่อพลังแห่งความงามที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น รับรองได้เลยว่าหลังใช้ได้ไม่นาน สาวๆ จะต้องติดใจ จนลืมผลิตภัณฑ์ราคาแพงกันอย่างแน่นอน
























 

Saturday, May 28, 2022

สง่างามและสวยงาม




สง่างามและสวยงาม

กรมควบคุมมลพิษ ชี้ "10 แม่น้ำสะอาด" อยู่ในเกณฑ์ดีสามารถใช้เล่นน้ำ และลงเล่นน้ำได้ตามปกติ พร้อมเล่นสงกรานต์

นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ. ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินที่สำคัญทั่วประเทศช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ของปี 2561 ดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา โดยแหล่งน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีสามารถใช้เล่นน้ำ และลงเล่นน้ำได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าสู่ร่างกายโดยตรง เพราะอาจมีผลต่อสุขภาพได้ โดยแหล่งน้ำที่มีคุณภาพนํ้าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ได้แก่ 


1.แม่น้ำสงคราม 2.แม่น้ำอูน 3.แม่น้ำตาปีตอนบน แหล่งน้ำที่มีคุณภาพนํ้าอยู่ในเกณฑ์ดี อาทิ 1.แม่น้ำกก 2.แม่น้ำแม่จาง 3.แม่น้ำลี้ 4.แม่น้ำอิง 5.แม่น้ำวัง 6.แม่น้ำแควใหญ่ 7.แม่น้ำแม่กลอง 8.แม่น้ำตาปีตอนล่าง 9.แม่น้ำชุมพร 10.แม่น้ำปัตตานีตอนล่าง

นางสุณี กล่าวต่อว่า สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่มีการละเล่นน้ำสงกรานต์ ได้แก่ 1.ชายหาดท่องเที่ยวทั่วประเทศ รวม 56 หาด ได้แก่ พื้นที่อ่าวไทยตอนใน 11 หาด อ่าวไทยฝั่งตะวันออก 14 หาด อ่าวไทยฝั่งตะวันตก 5 หาดและชายฝั่งอันดามัน 26 หาด พบว่าคุณภาพน้ำทะเลเบื้องต้นของบริเวณชายหาดท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล โดยชายหาดท่องเที่ยวทั้ง 56 หาด สามารถจะทำกิจกรรมนันทนาการทางน้ำได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามการทำกิจกรรมบริเวณชายหาดควรระมัดระวังเศษขยะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ 2.จ.เชียงใหม่ มีสถานที่หลักอย่างคูเมืองเชียงใหม่ที่เป็นหนึ่งสถานที่นักท่องเที่ยวนิยม

ก่อนเทศกาลสงกรานต์มาถึง เทศบาลนครเชียงใหม่ เตรียมน้ำดิบในคูเมือง เพื่อใช้สำหรับการเล่นสงกรานต์โดยการระบายน้ำจากคลองชลประทานเข้าคูเมืองเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และผันน้ำเต็มคูเมืองทั้งหมด ในวันที่ 5 เมษายน โดยขุดลอก ดูดของเสีย ปรับปรุง

คุณภาพน้ำโดยเติมคลอรีนฆ่าเชื้อ ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับแหล่งน้ำ 3.จ.ขอนแก่น ถนนข้าวเหนียวที่มีนักท่องเที่ยวและประชาชนจำนวนมากมาเล่นน้ำสงกรานต์ยังบริเวณนี้ โดยทาง จ.ขอนแก่น เตรียมน้ำให้
สำหรับนักท่องเที่ยวและประชาชนตามจุดต่างๆ 4.จ.นครราชสีมา คูเมืองนครราชสีมา เป็นแหล่งน้ำที่มาจากบ่อบำบัดน้ำเสียรวมบ่อสุดท้ายที่สูบเข้ามาหล่อเลี้ยงคูเมือง ทำให้คุณภาพน้ำในแหล่งน้ำไม่เหมาะแก่การอุปโภคและนำมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นำมาเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เทศบาลนครราชสีมาได้เปิดน้ำจากท่อประปาดับเพลิงให้ประชนได้ใช้ฟรี ตามจุดต่างๆ รอบคูเมืองนครราชสีมา และ 5.จ.พระนครศรีอยุธยา สถานที่ท่องเที่ยวอย่างเกาะเมืองอยุธยาที่น่าจะเป็นหนึ่งสถานที่ที่จะมีการเล่นน้ำสงกรานต์ แต่ทาง จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่อนุญาตให้เล่นน้ำยังบริเวณนี้เนื่องจากทำให้เกิดการจราจรติดขัด ดังนั้น นักท่องเที่ยวและประชาชนจึงนิยมเล่นน้ำสงกรานต์รอบนอกบริเวณทุ่งภูเขาทองและใช้น้ำจากทุ่งภูเขาทองมาใช้ในการเล่น ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี
























 

Saturday, May 14, 2022

แม่น้ำ



เท้านั้นสำคัญไฉน
           เท้าเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์ เท้าประกอบไปด้วยกระดูกชิ้นเล็กๆ 26 ชิ้น เท้า 2 ข้างมีกระดูกรวมกันทั้งหมด 52 ชิ้น ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของกระดูกทั้งหมดในร่างกาย ข้อต่อในเท้า มีทั้งหมด 38 ข้อ มีกล้ามเนื้อ 31 มัด มีเส้นเอ็นทั้งหมด 107 เส้น
           เท้าเป็นอวัยวะที่ทำงานหนัก ในขณะเดินมีแรงกระทำต่อเท้าข้างละประมาณ 120% ของน้ำหนักตัว และในขณะวิ่งมีแรงกระทำต่อเท้าสูงถึงข้างละประมาณ 275% ของน้ำหนักตัว มีการศึกษาพบว่าผู้ชายน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม เท้าแต่ละข้างต้องรับน้ำหนัก 63.5 ตันในขณะเดิน และสูงถึง 100 ตัน เมื่อวิ่งเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร มีผู้ประมาณการไว้ว่าชั่วชีวิตของมนุษย์ผู้หนึ่งจะใช้เท้าเดินเป็นระยะทางเฉลี่ยถึง 120,000 – 160,000 กิโลเมตร ซึ่งยาวมากกว่า 3 ถึง 4 เท่าของระยะทางรอบโลกเสียอีก 

เราใช้เท้าทำงานหนักในแต่ละวันจึงควรดูแลเท้าให้มีสุขภาพดี หลักการดูแลเท้าทำได้ดังนี้

     สิ่งที่ควรปฏิบัติในการดูแลเท้าทุกวัน
1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ
2. เช็ดเท้าให้แห้งทันที โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า 
3. ถ้าผิวแห้ง ทาครีมบางๆ ให้ทั่วทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า แต่ไม่ทาบริเวณซอกนิ้วเท้า เพราะอาจเกิดการหมักหมมได้
4. ถ้าเล็บยาวตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธีโดยตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ไม่ตัดเล็บเซาะเข้าไปทางด้านข้างของเล็บ 
5. ถ้าอากาศเย็นให้ใส่ถุงเท้านอน 
6. ใส่รองเท้าตลอดเวลาแม้นจะอยู่ในบ้านก็ตาม
7. ใส่รองเท้าที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ
8. ออกกำลังเพื่อบริหารข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม
1. เลือกแบบที่ปลอดภัยกับเท้า
           ปัจจุบันมีรองเท้าหลายแบบและหลายรูปทรงให้เลือก ควรลองรองเท้าลักษณะต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ รองเท้าที่เหมาะสมไม่ควร มีตะเข็บแข็งอยู่ด้านในและไม่ควรเลือกแบบที่ใส่แล้วคับเกินไป หลวมเกินไป หรือมีส่วนของรองเท้ากดหรือเสียดสีกับเท้า
2. เลือกแบบของรองเท้าที่เหมาะสมกับรูปเท้า
           เลือกรูปทรงรองเท้าที่เหมาะสมและมีลักษณะใกล้เคียงกับรูปเท้าของเราก่อน แล้วจึงลองขนาดของรองเท้า
3. ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนของขนาดรองเท้า
           รองเท้าเบอร์เดียวกันจะมีขนาดต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ แม้รองเท้ายี่ห้อเดียวกัน ถ้ารูปทรงต่างกันขนาดก็แตกต่างกัน ดังนั้นห้ามซื้อรองเท้าจากการดูเบอร์ ต้องลองสวมรองเท้าก่อนซื้อทุกครั้ง
4. วัดขนาดเท้าทั้งสองข้างก่อนเลือกซื้อรองเท้าเสมอ
           เท้าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทั้งขนาดและรูปร่างในแต่ละช่วงอายุ อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักมีเท้าข้างใดข้างหนึ่งกว้างหรือยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง ดังนั้นควรลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง
5. ลองสวมเดินทุกครั้ง
           เมื่อเลือกรองเท้าได้แล้ว ต้องลองสวมเดินก่อนซื้อทุกครั้งเพราะรองเท้าที่ดีต้องสวมสบายทั้งในขณะนั่ง ยืนและเดิน

6. ความยาวของรองเท้าที่เหมาะสม
           ความยาวที่เหมาะสม คือ ใส่แล้วมีระยะระหว่างปลายนิ้วที่ยาวที่สุดกับปลายของรองเท้าเหลือประมาณ 3/8 – 1/2 นิ้วฟุต หรือเท่ากับขนาดความกว้างของนิ้วหัวแม่มือ
7. ความกว้างของรองเท้าที่เหมาะสม
           ความกว้างที่เหมาะสม คือ ส่วนที่กว้างที่สุดภายในรองเท้าควรกว้างเท่ากับความกว้างที่สุดของเท้าและอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกัน
8. ส้นเท้าต้องอยู่พอดีกับส้นรองเท้า
           ตำแหน่งของส้นเท้าควรอยู่กับตำแหน่งของส้นรองเท้าและมีความกระชับพอดี เมื่อเดินแล้วรองเท้าไม่หลุดจากส้นเท้า
9. ถ้าใส่วัสดุเสริมในรองเท้าต้องเปลี่ยนขนาดรองเท้าให้เหมาะสม
           สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมภายในรองเท้า เช่น แผ่นรองใต้ฝ่าเท้า วัสดุเหล่านี้ทำให้รองเท้าคับขึ้น ดังนั้นเวลาเลือกรองเท้าต้องใส่วัสดุเสริมในรองเท้าก่อนลอง เพื่อให้ได้ขนาดรองเท้าที่เหมาะสม
10. เท้าเปลี่ยนขนาดได้ตามเวลาและชนิดของกิจกรรม
           เท้าเปลี่ยนขนาดและรูปร่างได้ในแต่ละช่วงของวัน เท้ามักจะขยายหลังจากเดินมาก นั่งห้อยเท้านาน ๆ หรืออกกำลังกาย ดังนั้น ก่อนเลือกรองเท้าต้องคำนึงถึงเวลาและกิจกรรมที่จะนำไปใช้ให้สอดคล้องกันด้วย                                               

           การออกกำลังเพื่อบริหารข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า  

Friday, May 6, 2022

อยู่ให้สวย

 




1.กินอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย
การกินอาหารที่มีประโยชน์คือสิ่งที่สาวๆ ต้องเน้นหนักกับตัวเอง ในแต่ละวันควรทานอาหารให้ได้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน การทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้ผิวหน้าของเราแลดูสุขภาพดีได้เช่นกัน


2.เข้านอนแต่หัวค่ำ
แม้การทำงานที่บ้าน จะทำให้เรามีอิสระในการทำงานช่วงเวลาไหนก็ได้ตามแต่ใจตัวเอง แต่พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลให้ต้องเข้านอนดึก จนทำให้สุขภาพของผิวหน้าไม่ดีตามมา ดังนั้นการเข้านอนแต่หัวค่ำยังคงเป็นสิ่งที่สาวๆ ควรให้ความสำคัญมากพอๆ กับการทานอาหารที่มีประโยชน์นั่นเอ

3.บำรุงผิวตอนเช้าด้วยเซรั่ม
หลังจากอาบน้ำและล้างหน้าในตอนเช้า สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการบำรุงผิวด้วยเซรั่ม เพื่อเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว ทำให้ผิวแลดูอิ่มฟูและสดชื่นขึ้น


4.ทากันแดดทุกวัน
แม้จะไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ครีมกันแดดก็ยังคงเป็นไอเท็มสำคัญที่สาวๆ ควรใช้ในทุกวัน จะทำงานอยู่แต่ในบ้าน ก็ใช่ว่าผิวจะไม่สัมผัสกับแสงแดด ที่สำคัญครีมกันแดดยังช่วยป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย เนื่องจากแสงชนิดนี้มีส่วนทำให้ผิวเสื่อมได้ในระยะยาว


5.ฉีดน้ำแร่เติมความฉ่ำวาว
การฉีดน้ำแร่เป็นการเพิ่มความสดชื่นให้กับใบหน้า พร้อมทั้งเติมความฉ่ำวาวให้ผิวหน้าแลดูสดใสมากยิ่งขึ้น ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในช่วงเวลาเร่งด่วนเลยทีเดียว วันไหนที่เจ้านายนัดประชุมออนไลน์ด่วนๆ แนะนำให้ฉีดน้ำแร่ เพียงแค่นี้ผิวหน้าก็สดใสไม่โทรมแล้ว

6.ผ่อนคลายผิวด้วยการมาสก์หน้า
การทำงานที่บ้านช่วยให้สาวๆ มีเวลาที่จะผ่อนคลายผิวได้บ้าง ซึ่งการผ่อนคลายผิวที่มีประสิทธิภาพมากๆ ก็คือ การมาสก์หน้า เพราะการมาสก์หน้าไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวหน้าได้รับการผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังช่วยซ่อมแซมผิวอีกด้วย


7.เช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งก่อนล้างหน้า
ไม่ว่าจะแต่งหน้าหรือไม่ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าฝุ่นละอองและคราบมันต่างๆ ย่อมตกค้างอยู่บนใบหน้าได้เสมอ ดังนั้นก่อนล้างหน้า แนะนำให้ใช้คลีนซิ่งทำความสะอาดผิวหน้าเสียก่อน เพราะช่วยให้ผิวสะอาดและลดปัญหาสิวกวนใจได้เป็นอย่างดี




8.ลดจุดด่างดำด้วยไวท์เทนนิ่ง
ช่วงเวลาของการทำงานที่บ้าน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผิวไม่โดนแสงแดดแรงๆ จนทำร้ายผิว ซึ่งการใช้ไวท์เทนนิ่งนั้นช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสและลดจุดด่างดำ พร้อมทั้งต้านอนุมูลอิสระไปพร้อมกัน






9.บำรุงผิวรอบดวงตาด้วยอายครีม
นอกจากจะบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวรอบดวงตาก็คือจุดสำคัญที่ต้องได้รับการบำรุงด้วยเช่นกัน เพราะการทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอหลายชั่วโมง หรือทำงานจนดึกนั้น ล้วนส่งผลให้ผิวรอบดวงตาเกิดความหมองคล้ำได้ แนะนำให้ใช้อายครีมบำรุงผิวรอบดวงตา เพราะช่วยลดเลือนริ้วรอยและลดรอยคล้ำใต้ตาได้ดี




Monday, May 2, 2022

วัฒนธรรมความงาม

 



วัฒนธรรม โดยทั่วไปหมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสำคัญ วิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้น ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย และ ความเหมาะสม แต่ถ้าเป็นในวิชาหน้าที่พลเมืองจะแปลว่าสิ่งที่มนุษย์ เปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญงอกงาม และสืบต่อกันมา

วัฒนธรรมส่วนหนึ่งสามารถแสดงออกผ่าน ดนตรี วรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม การละครและภาพยนตร์ แม้บางครั้งอาจมีผู้กล่าวว่าวัฒนธรรมคือเรื่องที่ว่าด้วยการบริโภคและสินค้าบริโภค เช่น วัฒนธรรมระดับสูง วัฒนธรรมระดับต่ำ วัฒนธรรมพื้นบ้าน หรือวัฒนธรรมนิยม เป็นต้น แต่นักมานุษยวิทยาโดยทั่วไปมักกล่าวถึงวัฒนธรรมว่า มิได้เป็นเพียงสินค้าบริโภค แต่หมายรวมถึงกระบวนการในการผลิตสินค้าและการให้ความหมายแก่สินค้านั้น ๆ ด้วย ทั้งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและแนวการปฏิบัติที่ทำให้วัตถุและกระบวนการผลิตหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ในสายตาของนักมานุษยวิทยาจึงรวมไปถึงเทคโนโลยี ศิลปะ วิทยาศาสตร์รวมทั้งระบบศีลธรรม

วัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับภูมิภาคอื่น เช่น การเป็นอาณานิคม การค้าขาย การย้ายถิ่นฐาน การสื่อสารมวลชนและศาสนา อีกทั้งระบบความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนามีบทบาทในวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาโดยตลอด

วัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • วัฒนธรรมทางวัตถุ คือ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขทางกาย อันได้แก่ ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ตลอดจนเครื่องป้องกันตัวให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง




Monday, April 25, 2022

อดีตสามีฉันบอกว่ารักฉ


ปัจจัยแบบไหนทำให้หญิงและชายนอกใจกัน มีงานวิจัยหลายชิ้น อาทิ ผู้ชายที่ขาดความมั่นใจทางเพศ จะมีพฤติกรรมนอกใจมากกว่า จึงต้องบริหารเสน่ห์ หรือผู้หญิงที่เรียนสูงกว่ามีโอกาสเล่นหูเล่นตากับผู้ชายอื่นมากขึ้น รวมถึงความไม่สมดุลของกิจกรรมทางเพศ
คนเดี๋ยวนี้อยู่กันไม่ค่อยยืดนะครับ แต่งงานแล้วหย่ากันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อัตราการหย่าร้างอยู่ที่ราวๆ 53 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่สถิติท้อปๆ จะอยู่ในยุโรปซึ่งอาจสูงถึงเกือบ 2 ใน 3 ของคู่แต่งงานในบางประเทศ เช่น เบลารุต, ยูเครน และรัสเซีย แปลว่าเห็นเดินสวนมา 3 คู่ ดูไว้ได้เลย อีกหน่อยจะเหลือเดินด้วยกันแค่คู่เดียว ! 

ประเทศเศรษฐกิจดี ค่าครองชีพสูงในเอเชีย ก็หย่ากันเพิ่มขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลี หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ส่วนการแต่งงานที่แต่งเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ แถมบางประเทศก็ไม่ค่อยแต่ง หรือแต่งก็ไม่ค่อยยอมมีลูก เช่น สิงคโปร์  

สำหรับเมืองไทยนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุในปี 2014 ว่า มีอัตรการหย่าร้างเพิ่มขึ้นถึง 27 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับเก้าปีก่อนหน้านั้น  

แน่นอนว่ามีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการหย่าร้างอยู่มากมาย มีนักวิจัยหลายๆ ทีมที่พยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับต้นเหตุ หรือแรงจูงใจที่ทำให้คนเรานอกใจกัน จนหลายครั้งนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ผู้ชายมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นมากที่จะนอกใจตอนที่ภรรยาตั้งครรภ์  

หากฝ่ายชายเป็นผู้หาเลี้ยงฝ่ายหญิง หรือแม้แต่มีรายได้ที่หาเข้าบ้านมากกว่าฝ่ายหญิง ก็มีแนวโน้มที่จะหาเศษหาเลยมากขึ้นไปด้วย ตรงกันข้ามกับฝ่ายหญิงที่หากฝ่ายชายหาเงินเข้าบ้านคนเดียว ฝ่ายหญิงจะมั่นคงในคู่สมรสมากกว่า ไม่เพียงเท่านั้น ต่อให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายหาเงินเข้าบ้านเป็นหลัก ฝ่ายชายก็นอกใจง่ายกว่าอีกเช่นกัน เอ๊ะ ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะนี่  

แม้แต่ปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ อย่างเที่ยวบินเลื่อนกำหนดออกเดินทางไป ก็ส่งผลให้ผู้ชายมีพฤติกรรมล่อกแล่กมากขึ้นด้วย อ้อ พวกที่มีงานที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ก็มีนิสัยเจ๊าะแจ๊ะเผื่อฟลุกมากตามไปด้วย อันนี้คนไทยรู้ดีแต่โบราณจนมีคำว่า “รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ” ไว้เตือนใจให้ระวัง แต่สมัยนี้การเดินทางสะดวกมากขึ้น คงไม่จำกัดแค่อาชีพเหล่านี้แล้วนะครับ   


ที่น่าสนใจคือ พวกผู้ชายที่ขาดความมั่นใจทางเพศ จะมีพฤติกรรมการนอกใจมากกว่า (Kristen P., 2011, Archives of Sexual Behavior) เรียกว่าขาดความมั่นใจจนต้องบริหารเสน่ห์ (แบบผิดๆ) กันเลยทีเดียว  

หากโฟกัสไปที่ฝ่ายผู้หญิงบ้าง ผู้หญิงที่เรียนสูง มีโอกาสในการนอกใจน้อยกว่า แต่มีข้อควรระวังเหมือนกันคือ หากสองฝ่ายมีระดับการศึกษาต่างกันมาก หรือฝ่ายหญิงเรียนจบสูงกว่าก็มีโอกาสเล่นหูเล่นตากับผู้ชายอื่นมากขึ้น และมักจะเลือกกิ๊กเป็นคนที่มีการศึกษาสูงกว่าด้วย (Forste and Tanfer, 1996, U.S. National Study of Dating, Cohabiting, and Married Wome
ฝ่ายหญิงเป็นเพศที่อิงกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าอยู่สักหน่อย มีงานวิจัยที่พบว่าหากสัมพันธภาพทั่วๆ ไปกับคู่ปัจจุบันไม่ราบรื่น ผู้หญิงจะมีโอกาสนอกใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว  

แต่หากมีความไม่สมดุลของกิจกรรมทางเพศร่วมด้วย ตัวเลขโอกาสจะขยับเพิ่มขึ้นไปเป็น 3 เท่า แหม่ อารมณ์ “เสน่หา” ส่งผลรุนแรงมากจริงๆ นะครับ   

ยังไม่หมดนะครับ อายุก็มีส่วนสำคัญ กล่าวคือผู้หญิงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น มีแนวโน้มจะนอกใจน้อยลง สวนทางกับฝ่ายชายที่ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งมีนิสัยหมาหยอกไก่มากยิ่งขึ้น และดังที่ทราบกันคือ เป้าหมายก็มักจะเป็นเด็กสาวๆ อย่างที่ชอบแซวกันว่า “วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน”   

เหมือนกับเป็นปมยังไงก็ไม่รู้นะครับ
กรณีผู้หญิงนี่มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ จำนวนคนที่เจ้าหล่อนเคยมีอะไรด้วย ก็เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงได้ดีด้วย กล่าวคือคนที่ยิ่งเคยมีคู่ขามากก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงนอกใจคู่ตัวเองมากขึ้นไปด้วย 

ผู้ชายที่เสียงห้าวทุ้มและผู้หญิงที่เสียงหวาน ฟังดูผู้หญิ้งผู้หญิง เป็นพวกที่มีโอกาสชะแว้บไปกับคนอื่นมากกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับโดยตรงกับปริมาณฮอร์โมนเพศ (เทสโทสเทอโรนในชาย และเอสโทรเจนในหญิง) ในร่างกายนะครับ (Evolutionary Psychology, 2011, 64-78)

อำนาจก็มีส่วนนะครับ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและมีอำนาจมาก ก็มีโอกาสจะนอกใจคู่ตัวเองมากตามไปด้วย กรณีท่านประธานกับเลขาฯ เลยมีให้ได้ยินกันบ่อยๆ 

โดยเฉลี่ยการนอกใจคู่ครองของฝ่ายหญิงเกิดขึ้นในปีที่ 7 ของการสมรส ดังนั้นวลีของ The Seven Year Itch ของฝรั่งจึงไม่ได้เลื่อนลอยเสียทีเดียว วลีดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเมื่อใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ปี 1955 ที่มีมาริลีน มอนโร ดาราสาวผู้มีเซ็กซ์แอพพีลสูงสุดๆ เป็นผู้แสดงนำ 
สถานที่พบคู่กิ๊กนั้นราวๆ ครึ่งหนึ่งก็ไม่ใช่ที่อื่นไกล คือในที่ทำงานนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจอีกเหมือนกัน ที่อาจจะเคยได้ยินเรื่องแม่บ้านไปอาละวาดกิ๊กที่ออฟฟิศสามี สาเหตุก็มาจากมีเวลาและโอกาสมากนั่นเอง คนเดี๋ยวนี้ใช้เวลาในที่ทำงานเยอะจะตายไปนะครับ  

ครั้นเมื่อนักวิจัยไปสอบถามผู้ที่นอกใจคู่ตัวเองว่า มีความสุขกับชีวิตแต่งงานมากน้อยเพียงใดหรือ จึงได้คิดนอกใจ ผู้ชายในกลุ่มนี้ 56 เปอร์เซ็นต์ บอกว่ามีความสุขดีหรือดีมาก


อ้าว...ก็สุขดีแล้ว แล้วพี่จะนอกใจคู่พี่ทำไมหว่า ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่นอกใจซึ่งมีน้อยกว่าคือ ราว 34 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ระบุว่า ชีวิตคู่ก็สุขดีหรือยังแฮปปี้สุดๆ เอ๊ะ แต่นี่ก็ 1 ใน 3 แล้วนะครับ ไม่น้อยเลยจริงๆ  

เฮ้อ...น่ากลุ้ม ตรงที่ความสุขในครอบครัวไม่ได้ช่วยเหนี่ยวรั้งไม่ให้นอกใจได้เลย เฮ้อ 

งานวิจัยยังพบอีกว่า ข้ออ้างการมีกิ๊กข้อหนึ่งก็คือ ผลจากความเครียดในชีวิตคู่ (75 เปอร์เซ็นต์ ของชายและ 65 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงระบุเรื่องนี้ไว้)  

เอ้า ใครมีคู่อยู่ก็อย่าเพิ่มความเครียดให้กันนะครับ เดี๋ยวจะโสดโดยไม่รู้ตัว ว่าแต่จะรู้ตัวกันไหมละนั่นว่า ทำให้คู่ตัวเองเครียด ? สงสัยก็แต่ว่าเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นหรือเปล่าล่ะครับนี่ 
ส่วนใหญ่ที่กล่าวมาเป็นงานวิจัยในต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไทยเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ก็ดูท่าไม่น่าจะต่างออกไปมากเท่าไหร่หรอกครับ เพราะโดยพื้นฐานก็มาจากพฤติกรรมมนุษย์ที่ไม่ได้ควบคุมให้ดี ซึ่งเหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละครับ !


 

Friday, April 15, 2022

အရှေ့တောင်အာရှမှ လှပသော အမျိုးသမီးများ



การดูแลเท้าแบบนี้ ไม่เฉพาะเจอะจง ว่าต้องเป็นสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องส้นเท้าแตก แต่ต้องเป็นสาวๆทุกคนเลยค่ะ เพราะเราต้องใช้เท้าในการเดินทุกวัน แถมเรายังมีแฟชั่นรองเท้า ที่ต้องอวดเท้าอีก แล้วเราจะปล่อยให้เท้าแห้ง หยาบได้หรอคะ? ไม่ได้อ่าาา และนี้เป็นวิธีดูแลเท้าที่ไม่ได้ใช้เวลาเยอะ ทำทุกวันในห้องน้ำ หลังอาบน้ำก็ได้เลยนะคะ จะปล่อยให้เท้าไม่สวยได้หรอ? เราต้องเป็นสาวที่สวยตั่งแต่หัวจรดปลายเท้าค่ะ เริ่ดๆ! ว่าแล้วว่าเริ่มกันเลย

1. ขัดเท้าแล้วเติมมอยเจอร์ไรซเซอร์
การดูแลเท้าแบบนี้ ไม่เฉพาะเจอะจง ว่าต้องเป็นสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องส้นเท้าแตก แต่ต้องเป็นสาวๆทุกคนเลยค่ะ เพราะเราต้องใช้เท้าในการเดินทุกวัน แถมเรายังมีแฟชั่นรองเท้า ที่ต้องอวดเท้าอีก แล้วเราจะปล่อยให้เท้าแห้ง หยาบได้หรอคะ? ไม่ได้อ่าาา และนี้เป็นวิธีดูแลเท้าที่ไม่ได้ใช้เวลาเยอะ ทำทุกวันในห้องน้ำ หลังอาบน้ำก็ได้เลยนะคะ จะปล่อยให้เท้าไม่สวยได้หรอ? เราต้องเป็นสาวที่สวยตั่งแต่หัวจรดปลายเท้าค่ะ เริ่ดๆ! ว่าแล้วว่าเริ่มกันเลย

2. ล้างเท้าทุกวัน
กลับถึงบ้านตอนเย็น หรือดึกยังไง ก็ต้องล้างนะคะ เพราะเราใช้เท้ามาทั้งวัน ไหนจะอยู่ในรองเท้าอีก ทั้งเหงื่อและความอับชื้น ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือจะอาบน้ำไปก็เอาเท้าถูๆกันก็ได้น้า

3. งดส้นสูงบ้าง
รองเท้าส้นสูงช่วยให้ดูมีบุคลิกที่สวยสง่า ก็จริงค่ะ แต่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเขย่งยืน จนปวดเท้า เป็นอันตรายต่อเท้าเหมือนกันนะคะ ทางที่ดี คือควรใส่สลับๆกันกับรองเท้าส้นแบน หรือเวลาอยู่ในออฟฟอต ก็ใส่รองเท้าที่เดินในสำนักงานก็ได้นะคะ

4. น้ำมันมะพร้าวบำรุง
ในน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอี ช่วยบำรุงผิวหนัง ให้เนียนสวย หลังจากที่เช็ดเท้าให้แห้ง หรือรู้สึกเท้าแห้งๆ ก็ใส่น้ำมันมะพร้าว ทาบางๆ รอบเท้า น้ำมันมะพร้าวจะซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว และบำรุงเท้าให้ชุ่มชื้นขึ้นด้วยค่ะ

5. เดินเท้าเปล่าบ้าง
สาวๆคงเคยได้ยินคำกล่าวมฃที่บอกให้เราเอาเท้าออกไปสัมผัสหญ้าบ้าง นอกจากจะช่วยให้สดใสแล้ว การเดินเท้าเปล่า ยังช่วยกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงที่เท้าได้ดี และยังเป็นการผ่อนคลายฝ่าเท้า จากการใส่รองเท้า

6. ตรวจเช็คเท้าบ่อยๆ
สาวๆบางคนก็ไม่ได้ใส่ใจเท้าสักเท่าไหร่ จนอาจลืมไปว่า เท้าที่อับชื้น ก็อาจจะเกิดเชื้อราได้น้า เช็คเป็นประจำ เมื่อเห็นผด ผื่นก็ควรรักษาความสะอาดด้วยน้า

7. น้ำมะนาวช่วยเท้าไบรท์
บางครั้งเท้าของเราที่ใส่รองเท้าบ่อย ก็จะมีผิวหนังที่หยาบ ดูไม่สวยบ้าง ใช้มะนาวผ่าครึ่งถูตามเท้าให้ทั่ว นอกจากจะช่วยให้ผิวสวยแล้ว ยังทำให้เท้านุ่มด้วยแหละ

8. สวมรองเท้าขนาดพอดีเท้า
ไม่ใส่รองเท้าที่คับไป ใหญ่ไป เพราะนอกจากจะเดินไม่สะดวกแล้ว ยังทำให้เท้ารู้สึกอึดอัดด้วยนะคะ

9. เท้านุ่มด้วยกล้วย
ส้นเท้าแตก ก็สามารถเอาเปลือกกล้วยหอม เอาด้านที่เป็นเนื้อนุ่มๆด้านใน ถูตรงส้นเท้าที่แตก วิตามินอีจะช่วยฟื้นบำรุงให้ส้นเท้ามีความชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก ใช้เปลือกกล้วยถูทั่วเท้า ก็เป็นการคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังด้วยค่า

10. แช่เท้าอาทิตย์ละครั้ง
วันหยุดของสาวๆนอกจากจะได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าแล้ว การแช่เท้ายังช่วยให้รู้สึกดีได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยนะคะ สาวๆคนไหนที่ไม่เคย ต้องลองเลยค่ะ ถ้าอยากให้ผิวเท้าเนียนนุ่ม ต้องสูตรนี้เลย เติมเบคกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ พร้อมกับหยดน้ำมันหอมที่สาวๆชื่นชอบนะคะ แช่ไว้ 15 – 20 นาทีก็ได้ แล้วล้างออกแค่นี้ สาวๆก็จะได้ทั้งการผ่อนคลายและเท้าที่เนียนนุ่มด้วยค่ะ

จะสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าได้ ไม่ได้มาได้ง่ายๆ ไม่ได้มาเล่นๆนะคะ (เอ๊ะๆ) แต่สาวๆต้องรู้แลตัวเองอย่างดีและสม่ำเสมอ ทำเป็นประจำบ่อยจะค่อยๆชิน แล้วสาวๆ ก็จะดูดีได้เองเลยค่ะ ^0^



Friday, March 25, 2022

ประโยชน์ของการนอนเปล่า


 

ประโยชน์ของการนอนเปล่า


ตรวจสอบข้อเท็จจริง

ทีมงานที่ทุ่มเทของเราจะประเมินบทความ คู่มือ และผลิตภัณฑ์ทุกรายการอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลนั้นถูกต้องและเป็นข้อเท็จจริง เรียนรู้เพิ่มเติม

ทีมงานที่ทุ่มเทของเราจะประเมินบทความและคำแนะนำทุกบทความอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริง เป็นปัจจุบัน และปราศจากอคติ



ในบทความนี้

อะไรคือประโยชน์ของการนอนเปล่า?

สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนนอนเปลือยกาย

เคล็ดลับในการเริ่มนอนเปลือยกาย

เกิดอะไรขึ้นถ้าฉันนอนไม่หลับ?

บางคนเชื่อว่าการนอนเปลือยกายสามารถปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีได้หลายวิธี รวมถึงการช่วยให้คุณหลับเร็วขึ้น ปรับปรุงความสัมพันธ์ของคุณ และส่งเสริมสุขภาพการเจริญพันธุ์ อันที่จริง28% ของชาวฝรั่งเศสรายงานว่านอนเปลือยบ่อยๆ




ในปัจจุบัน ยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากนักที่ศึกษาผลกระทบของการนอนเปลือยกาย หรือข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าคนในสหรัฐฯ นอนเปลือยกายกี่เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาบางชิ้นให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนเปลือยกาย


อะไรคือประโยชน์ของการนอนเปล่า?

ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อยเจ็ดชั่วโมงในแต่ละคืน แต่ผู้ใหญ่หนึ่งในสามนอนหลับน้อยกว่านั้น การอดนอนเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร ตัวอย่างเช่น การอดนอนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเบาหวานรวมถึงปัญหาอื่นๆ


บางคนเชื่อว่าการนอนเปล่าช่วยให้หลับเร็วขึ้นและหลับได้นานขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่ได้ศึกษาโดยตรงถึงประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนเปลือยกาย หากการนอนเปล่าช่วยให้คุณได้รับการนอนหลับเจ็ดถึงเก้าชั่วโมงที่แนะนำในแต่ละคืน มันก็คุ้มค่าที่จะลอง การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการนอนเปลือยกายอาจส่งผลดีต่ออนามัยการเจริญพันธุ์ การเชื่อมต่อกับคู่ครอง และความภาคภูมิใจในตนเอ



นอนหลับได้ดีขึ้น

ร่างกายของเราถูกควบคุมโดยจังหวะชีวิต ของเรา ซึ่งหมุนเวียนไปตามรูปแบบการให้ความร้อนและความเย็นตลอดทั้งวัน เมื่อเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยเมื่อสิ้นสุดวัน การผลิตเมลาโทนินของเราเพิ่มขึ้นและอุณหภูมิร่างกายหลักของเราลดลง อุณหภูมิของร่างกายลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน

อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการนอนหลับ มีตั้งแต่ 66 ถึง 70 องศาฟาเรนไฮต์ และเป็นกุญแจสำคัญในการนอนหลับสบาย อากาศที่ ร้อนเกินไปในตอนกลางคืนรบกวนการนอน ด้วยเหตุนี้ บางคนเชื่อว่าการนอนเปลือยสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณมีอุณหภูมิแกนกลางที่เย็นกว่าเร็วขึ้นและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่ได้ศึกษาโดยตรงถึงผลกระทบของการนอนเปลือยกายที่มีต่อการนอนหลับ

หากคุณตัดสินใจที่จะลองนอนเปล่า ให้แน่ใจว่าคุณมีผ้าปูที่นอนที่นุ่มสบาย เช่นเดียวกับความร้อน ความหนาวเย็นอาจส่งผลเสียต่อคุณภาพการนอนหลับ นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนกึ่งเปลือยจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแวดล้อมมากกว่า เว้นแต่จะมีผ้าปูที่นอนเพียงพอสำหรับใช้ตลอดทั้งคืนเพื่อป้องกันไม่ให้เย็นเกินไป

สุขภาพช่องคลอด

การนอนเปลือยกายอาจช่วยให้ Candida ยีสต์ไม่เจริญในช่องคลอด การเติบโตของ Candida ทำให้เกิดการติดเชื้อราซึ่งอาจทำให้เยื่อเมือกของช่องคลอดอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดและมีอาการคัน

ความเสี่ยงของการติดเชื้อรามักเพิ่มขึ้นจากการไหลเวียนของอากาศที่ไม่เพียงพอซึ่งมักเกิดจากกางเกงชั้นในที่คับหรือกางเกงชั้นในสังเคราะห์ การหลีกเลี่ยงชุดชั้นในที่คับหรือพอดีตัวในขณะนอนหลับสามารถช่วยให้สุขภาพช่องคลอดโดยรวมดีขึ้นได้

สุขภาพผิว

การนอนหลับส่งผลต่อสุขภาพและรูปลักษณ์ของผิว เมื่อคุณเหนื่อยล้าและนอนหลับไม่เพียงพอ ผิวของคุณจะไวต่อการเกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย บวม และรอยคล้ำใต้ตามากขึ้น การนอนหลับที่ล่าช้าหรือลดลงยังส่งผลต่อความสามารถของผิวในการรักษาบาดแผลเช่น บาดแผลหรือแผลพุพอง

หากการนอนเปล่าช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นก็จะทำให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้นด้วย การนอนหลับที่มากขึ้นจะช่วยให้ผิวหนังมีเวลาสร้างใหม่และซ่อมแซมบาดแผล ช่วยให้คุณดูดีและรู้สึกดีที่สุด ที่กล่าวว่ายังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการนอนหลับที่เปลือยเปล่าต่อผิวหนัง

ภาวะเจริญพันธุ์ชาย

การนอนเปล่าอาจส่งผลในทางบวกต่อการเจริญพันธุ์ของผู้ชาย แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาโดยตรง การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสวมชุดชั้นในที่รัดรูปจะเพิ่มอุณหภูมิของถุงอัณฑะ ซึ่งสามารถลดความมีชีวิตชีวาและการนับจำนวนอสุจิได้ ด้วยเหตุผลนี้ การสวมกางเกงบ็อกเซอร์กับกางเกงในที่คับกว่าอาจส่งผลต่อความเข้มข้นของอสุจิในผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าการระบายความร้อนของถุงอัณฑะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ

การนอนเปลือยกายสามารถช่วยให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลงได้ แม้ว่าการวิจัยเกี่ยวกับการนอนเปลือยกายจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง แต่การวิจัยในอดีตชี้ให้เห็นว่าความเย็นที่เกี่ยวข้องกับการนอนเปลือยกายอาจช่วยเพิ่มสุขภาพของตัวอสุจิ

ความสัมพันธ์และการเห็นคุณค่าในตนเอง

การนอนเปล่าข้างคู่ของคุณอาจเพิ่มความรู้สึกเติมเต็มและความเชื่อมโยงระหว่างคู่รัก คู่ค้าที่ใช้เวลามีส่วนร่วมในการสัมผัสทางผิวหนังมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเครียดน้อยลงและใกล้ชิดกับคู่ของพวกเขามากขึ้น การสัมผัสทางผิวหนังกับผิวหนังจะปล่อยฮอร์โมน oxytocin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ให้ความรู้สึกดีซึ่งส่งเสริมความรู้สึกปลอดภัยและความรักในขณะที่ลดความวิตกกังวล

นอกจากการลดความเครียดแล้ว การนอนเปลือยกายกับคนรักอาจช่วยให้คุณรู้สึกดีกับร่างกายได้ การ ใช้เวลาเปลือยกายอยู่กับคนอื่นจะช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและภาพลักษณ์ที่ดีของร่างกาย


Wednesday, March 16, 2022

ชุดพื้นเมือง

 ชุดพื้นเมือง


การใส่ชุดเสื้อผ้าพื้นเมืองเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของภาคเหนือเอาไว้ ให้คงอยู่นาน และมีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อๆกันมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อนั้นๆ เรียกว่ามีที่มาที่ไป มีรากเง้าอันยาวนาน อยากให้ชุดพื้นเมืองล้านนาเป็นที่รู้จัก และชื่นชมในความงามของวัฒนธรรมอันดีงามของเมืองเหนือ


ประโยชน์ของน้ำผึ้งที่ดีสำหรับผิว

น้ำผึ้ง (Honey Powder) ก่อนอื่นเรามารู้จักกันก่อนว่าในน้ำผึ้งนั้นมีอะไรอยู่บ้าง ส่วนประกอบโดยเฉลี่ยของน้ำผึ้งคือ คารโบไฮเดรต 80% ซึ่งอยู่ในรูปน้ำตาลฟรุกโตสและน้ำตาลกลูโคส น้ำ 18% ส่วนอีก 2% ที่เหลือจะเป็น กรดอะมิโน วิตามิน และเกลือแร่ น้ำผึ้งไม่ได้ให้เพียงให้ความหวาน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากธรรมชาติ

ประโยชน์ของน้ําผึ้งสรรพคุณที่ดีต่อผิว

1. ดูแลผิวให้ห่างไกลจากโรคผิวหนัง
เนื่องจากในน้ำผึ้งมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ได้จากธรรมชาติ ทั้งยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังได้เป็นอย่างดี นอกจากจะต่อต้านเชื้อเหล่านั้นได้แล้ว ยังสามารถช่วยรักษาบาดแผล ลดอาการผื่นแดง อาการคันและอาการติดเชื้อในผิวหนังได้ด้วยเช่นกัน

2. รักษาแผลให้หายเร็วขึ้น
มีคุณสมบัติที่สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ได้ จึงสามารถนำน้ำผึ้งมารักษาอาการอักเสบและรักษาบาดแผลให้หายได้เร็วขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อน้ำผึ้งรวมตัวเข้ากับของเหลวมันจะเปลี่ยนคุณสมบัติให้กลายมาเป็น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แบบอ่อนๆโดยจะยิ่งช่วยรักษาบาดแผลให้หายได้เร็วขึ้นได้ด้วยนั่นเอง

3. บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น
อุดมไปด้วยอาหารผิวหลากหลายชนิด ที่มีส่วนช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณจึงทำให้สาวๆ นิยมนำน้ำผึ้งมาใช้เป็นส่วนผสมในการมาส์กผิวและสครับผิวเป็นประจำ

4. กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส
เป็นแหล่งของสารอาหารต่างๆ หลายชนิด เช่น แมกนีเซียม แคลเซียมและโพแทสเซียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ ล้วนมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวและช่วยเร่งกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกได้อย่างอ่อนโยน แถมยังเป็นอาหารผิวชั้นเยี่ยมที่สามารถเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ งานนี้สาวผิวแห้งห้ามพลาดเด็ดขาด

5. ทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจด
มีเอนไซม์จากธรรมชาติ มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อได้หรือที่เรียกกันว่า แอนตี้เซปติก (Antiseptic) จึงทำให้น้ำผึ้งสามารถช่วยกำจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิวหนังได้อย่างล้ำลึก และยังช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ด้วย

6. ชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

ผู้หญิงเราเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินก็เริ่มลดน้อยลง แน่นอนว่าริ้วรอยย่อมต้องมาเยือนเป็นธรรมดา และสาวๆ ก็มักจะมองหาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทั้งช่วยชะลอและลดเลือนริ้วรอยมาใช้ แต่สาวๆ รู้มั้ยคะว่าน้ำผึ้งก็มีคุณสมบัติช่วยชะลอและลดเลือนริ้วรอยได้ เพราะคุณสมบัติที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในตัวจึงช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยอย่างได้ผลนั่นเอง

สารสกัดจากน้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่มรักษาน้ำหล่อเลี้ยงที่ผิวไม่ทำให้ผิวแห้งตึงลดการอักเสบของผิวหนังเป็นส่วนผสมหนึ่งของ Liposome anti age veg ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติคือสามารถดึงและเก็บความขึ้นไว้ได้ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นจึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มขึ้นไม่แห้งง่ายทำให้ผิวเต่งตึงลดเลือนริ้วรอยน้ำผึ้งนั้นมีคุณสมบัติที่จะทำให้ Myofibroblast เพิ่มปริมาณขึ้นนั่นหมายความว่าขั้นผิวก็มีเซลล์ที่สร้างเส้นใยเพิ่มขึ้นส่งผลให้ผิวก็ดูกระชับขึ้นทั้งยังถูกจัดให้เป็นสารฆ่าเชื้อโรคตามธรรมชาติมีสารประกอบฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรียยับยั้งการอักเสบได้ดีใช้สมานแผลและรักษาโรคผิวหนังต่างๆได้


Thursday, February 17, 2022

นางแบบสวย

เนื้อวัว ประโยชน์และข้อควรระวังในการบริโภค

เนื้อวัว เป็นสารอาหารหลักประเภทโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงรักษามวลกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้พลังงานแก่ร่างกาย นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่อาจช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงเลือด และปรับปรุงการทำงานของร่างกายในส่วนต่าง ๆ เช่น ระบบประสาท การเต้นของหัวใจ

คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อวัว

เนื้อวัวปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี่ และประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น


โปรตีน 26 กรัม

ไขมัน 15 กรัม

คอเลสเตอรอล 90 มิลลิกรัม

โซเดียม 72 มิลลิกรัม

นอกจากนี้ เนื้อวัวยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม เหล็ก แมงกานีส โพแทสเซียม ทองแดง ซีลีเนียม (Selenium) สังกะสี

อุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

เนื้อวัวอุดมไปด้วยโปรตีนที่อาจช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและรักษามวลกล้ามเนื้อในร่างกาย โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 ศึกษาเกี่ยวกับโปรตีนในอาหารและมวลกล้ามเนื้อ พบว่า การบริโภคโปรตีนที่ไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม คือ 0.66 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต พัฒนากล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รักษามวลกล้ามเนื้อและส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้น การรับประทานเนื้อวัวที่อุดมไปด้วยโปรตีนจึงสามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานเนื้อวัวที่ไม่ติดมัน ไม่ผ่านการแปรรูป เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับไขมันและโซเดียมส่วนเกินที่อาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด


อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย

เนื้อวัวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพร่างกาย เช่


  • วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน ลดความเหนื่อยล้าและความอ่อนเพลีย
  • สังกะสี มีความสำคัญที่ช่วยให้ผม เล็บ และผิวหนังสุขภาพดี สนับสนุนการเจริญพันธุ์และการสืบพันธุ์ ทั้งยังช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในเลือดให้เป็นปกติ
  • แคลเซียมและฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่ช่วยรักษาและส่งเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ดี ปรับปรุงเยื่อหุ้มเซลล์ กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและส่งเสริมการทำงานของเส้นประสาทให้เป็นปกติ
  • อาจช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

เนื้อวัวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 วิตามินเอ โฟเลต (Folate) ทองแดง ซึ่งช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและป้องกันโรคโลหิตจาง โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน Journal of Research in Medical Sciences เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของธาตุเหล็กที่มีความสำคัญต่อสุขภาพ พบว่า โรคโลหิตจางเป็นโรคที่พบบ่อยเพราะร่างกายขาดธาตุเหล็ก อาจมีสาเหตุมาจากแผลในกระเพาะอาหารหรือการรับประทานอาหารที่ธาตุเหล็กต่ำ นอกจากธาตุเหล็ก ร่างกายควรได้รับสารอาหารอื่น ๆ อย่างวิตามินบี 2 วิตามินบี 12 วิตามินเอ โฟเลต และทองแดง เพื่อช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สามารถช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้น การรับประทานเนื้อวัวที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและสารอาหารที่สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง จึงอาจช่วยบำรุงสุขภาพเลือดและป้องกันโรคโลหิตจางได้

อาจช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน

เนื้อวัวอุดมไปด้วยสังกะสี ที่ช่วยรักษาความสมดุลการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันที่อาจช่วยป้องกันโรค เช่น การติดเชื้อ โรคมะเร็ง โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Age (Dordr) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคอาหารและผลของการเสริมสังกะสีต่อการทำงานของภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุ พบว่า แร่ธาตุสังกะสีเป็นสารอาหารที่ช่วยรักษาความสมดุลของร่างกายในหลายส่วน รวมทั้งส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่อาจขาดสังกะสีเนื่องจากปัญหาการบดเคี้ยว กระบวนการย่อยหรือการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลงและเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น โรคมะเร็ง การติดเชื้อ จึงควรเสริมอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี เช่น เนื้อแดง ชีสแข็ง

ข้อควรระวังในการบริโภคเนื้อวัว

ข้อควรระวังบางประการที่ควรรู้ก่อนบริโภคเนื้อวัว มีดังนี้


เนื้อแดงที่ไม่ผ่านการแปรรูป เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู อาจอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว อาจทำให้ระดับไขมันไม่ดี (LDL) และคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ ไส้กรอก เบคอน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก นอกจากนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน

เนื้อวัวอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอาจเสี่ยงในการเกิดภาวะธาตุเหล็กเกิน เนื่องจากร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป อาจนำไปสู่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และปัญหาตับ นอกจากนี้ ยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


Saturday, January 15, 2022

วัฒนธรรมของเรา

 วัฒนธรรมของไทย

     วัฒนธรรมไทย หรือศิลปวัฒนธรรมไทย แท้จริงแล้วมีสิ่งที่สวยงาม เป็นเสน่ห์ที่สร้างสีสันให้กับประเทศไทย แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ เรามาทำความรู้จักกับศิลปวัฒนธรรมของไทยกันดีกว่าค่ะ


ผ้าวัฒนธรรมของเรา

ต้มยำกุ้ง

ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารไทยภาคกลางประเภทต้มยำ ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานไปทุกภาคในประเทศไทย เป็นอาหารที่รับประทานกับข้าวและ มีรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลักผสมเค็มและหวานเล็กน้อย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้มยำน้ำใส และ ต้มยำน้ำข้น
สำหรับประวัติของอาหารชนิดนี้ ไม่มีหลักฐานแน่นชัดที่บอกถึงจุดกำเนิดของอาหารชนิดนี้ แต่อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศได้เขียนถึง ต้มยำกุ้ง ไว้ว่า “เมื่อรับข้าวเจ้าจากอินเดียเข้ามาพร้อมกับการค้าทางทะเลอันดามันและศาสนาพราหมณ์-พุทธทำให้ “กับข้าว”เปลี่ยนไปเริ่มมี “น้ำแกง” เข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดียกับแกงน้ำได้แบบจีน
ต้มยำเป็นอาหารพื้นเมืองที่คนไทยคุ้นเคยดี เพราะมีให้รับประทานทุกภาคและเป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติด้วย หนึ่งในเมนูต้มยำที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ ต้มยำกุ้ง ต้มยำเป็นอาหารที่ครบรส คือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานเล็กน้อย

เครื่องพริกแกงต้มยำสำเร็จรูป ทำจากการบดส่วนประกอบของสมุนไพรเครื่องต้มยำ นำไปผัดในน้ำมันเติมด้วยเครื่องปรุงรสและอื่นที่ช่วยถนอมอาหาร เครื่องพริกแกงต้มยำสำเร็จรูปจะบรรจุขวดหรือบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งขายทั่วโลก เครื่องพริกแกงต้มยำสำเร็จรูปจะมีรสชาติต่างจากการปรุงด้วยเครื่องปรุงสมุนไพรสด ทั้งนี้มักจะเติมเนื้อสด เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อหมูและกุ้ง เป็นต้น

ต้มยำน้ำใส เป็นต้มยำชนิดหนึ่งน้ำแกงมีความใส[1]
ต้มยำน้ำข้น เป็นต้มยำชนิดหนึ่ง พึ่งเป็นที่นิยมในทศวรรษที่ 1980[2] มักใช้กุ้ง นมข้นและครีมเทียมเป็นส่วนผสมหลัก[2]
ต้มยำกะทิ ต้มยำที่ใช้กะทิเป็นส่วนประกอบหลัก มีลักษณะคล้ายต้มข่าไก่
ต้มยำกุ้ง เป็นชนิดของต้มยำที่เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยว ใช้กุ้งเป็นส่วนประกอบหลัก[3] คาดกันว่าถือกำเนิดในสมัยรัตนโกสินทร์[4]
ต้มยำปลา เป็นต้มยำน้ำใสที่ใส่เนื้อปลาเข้าไป มักกินพร้อมข้าว เคยเป็นชนิดของต้มยำที่แพร่หลายที่สุด ก่อนที่จะมีการท่องเที่ยวแบบมวลชนในประเทศไทย เคยเป็นที่แพร่หลายเนื่องจากปลาเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายตามแม่น้ำ ลำคลองภายในประเทศ ปกติแล้วจะใช้เนื้อปลาที่ต้มแล้วเนื้อไม่ร่วนมาทำ[5]
ต้มยำไก่ เป็นต้มยำชนิดหนึ่ง ใช้ไก่เป็นส่วนผสมหลัก[6]
ต้มยำโป๊ะแตก หรือ ต้มยำทะเล เป็นต้มยำชนิดหนึ่งที่ใช้สัตว์ทะเลมาเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น กุ้ง หอย หมึก[7]
ต้มยำมะพร้าวอ่อนน้ำข้น เป็นต้มยำชนิดหนึ่งที่ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน
ต้มยำขาหมู ใช้ขาหมูเป็นส่วนประกอบ ใช้เวลาในการทำนาน เนื่องจากใช้ไฟต่ำในการต้ม[8]
ชาวต่างชาติจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำชนิดอื่น ๆ โดยต้มยำจะใส่เนื้อสัตว์หรือผัก-สมุนไพรใดก็ได้

การใส่นม หรือกะทิลงไปนั้น บางทีก็นิยมใส่เพื่อให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น มักจะเรียกว่า ต้มยำน้ำข้น
ต้มยำกุ้ง นั้น นิยมใส่มันกุ้งลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นกุ้ง
ต้มยำหัวปลา มักจะไม่นิยมใส่นม
ถ้าเป็นต้มโคล้งจะใส่น้ำมะขามเปียกแทนน้ำมะนาว และจะใส่หอมแดงสดลงไปด้วย



อายุยืนยาวรุ่งเรืองตลอดไป